5 สาเหตุ ที่ทำให้คุณโคตรง่วงในตอนบ่าย (ฉบับมนุษย์ออฟฟิศ)

บ่ายๆทีไร ทำไมถึงได้ง่วงทุกที?

เวลาคุณง่วงแล้วไม่ได้นอน มันโคตรจะทรมาน หากคุณเป็นคนหนึ่งที่ง่วงจนทำงานต่อไม่ได้ ทำให้ประสิทธิภาพในการทำงานลดลง มันคงจะดูไม่ดีนัก ซึ่งสาเหตุทั้ง 5 ข้อ ที่ผมได้ยกมาให้อ่าน คือ สาเหตุอันดับต้นๆที่ทำให้มนุษย์ออฟฟิตหลับคาโต๊ะในยามบ่ายนั่นเอง


1.รับประทานข้าวขาว ขนมปังขาว มากเกินไป

อาหารจำพวกแป้งขัดขาว อย่างเช่น ข้าวขาว ข้าวเหนียว ขนมปังขาว เบเกอรี่ต่างๆ หรือ ผลิตภัณฑ์ต่างๆที่ผ่านการแปรรูป ถ้าคุณบริโภคมากเกินไป แน่นอนตาคุณอาจจะปิด หรือ นั่งสัปหงกหลับคาโต๊ะทำงาน จนเจ้านายเดินมาสะกิดได้ เนื่องจากอาหารเหล่านี้ จะแปรเปลี่ยนเป็นน้ำตาลได้ง่ายมากๆ หรือ เกือบจะทันทีเลยล่ะครับ

ซึ่งหากได้รับมากเกินไป คุณจะมีไขมันสะสมที่มากขึ้นตามส่วนต่างๆ เนื่องจากร่างกายเก็บไว้เป็นพลังงานสำรองนั่นเอง และเมื่อฮอร์โมนอินซูลินในร่างกายของคุณ ถูกผลิตออกมามากเกินไป จะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดลดลงอย่างรวดเร็ว ไม่นานคุณจะรู้สึกอ่อนเพลียมากกว่าเดิม

แล้วจะทำยังไงดี มีวิธีหรือตัวช่วยอื่นมั้ย?

คุณลองเปลี่ยนมาบริโภค ข้าวกล้อง ข้าวไรซ์เบอรี่ หรือ ขนมปังโฮลวีทแท้ๆ ดูบ้างสิ! รวมถึงการบริโภคในปริมาณที่พอดี ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่จะทำให้คุณตาสว่างยันเย็น จนถึงเวลาเลิกงานได้ เพราะทั้งหมดนี้จะค่อยๆถูกย่อย และดูดซึมอย่างช้าๆ เนื่องจากมีวิตามิน แร่ธาตุต่างๆมากมายที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย และระดับน้ำตาลในเลือดจะเพิ่มขึ้นอย่างคงที่ ทำให้ได้รับพลังงานต่อเนื่อง แถมไม่ทำให้คุณหิวบ่อยๆอีกด้วย


2.จัดหนักมื้อเที่ยง

ถ้าเลือกตามเมนูยอดฮิตของชาวออฟฟิศ หากคุณไม่ได้ทำอาหารใส่กล่องมาทานเอง คงหนีไม่พ้น ข้าวกระเพราไก่ไข่ดาว ข้าวมันไก่ ราดหน้า ก๋วยเตี๋ยว หรือจะเป็นข้าวขาหมูดีล่ะ..จะเมนูไหนคุณจะไม่ง่วง หากคุณรับประทานในปริมาณที่พอดี บางท่านจานเดียวไม่พอ หรือ ธรรมดากินไม่อิ่ม ไม่ก็ตบท้ายด้วยของหวานจนพุงกาง

“หนังท้องตึง หนังตาหย่อน” คำนี้ยังคงใช้ได้ดีอยู่เสมอ

แน่นอนครับ ถ้าเป็นแบบนี้ช่วงบ่ายคุณไม่รอดแน่ๆ เพราะรายการเมนูที่ว่ามาทั้งหมด ล้วนแล้วเป็นแหล่งคาร์โบไฮเดรตเชิงเดี่ยวชั้นดี ที่ผมได้อธิบายไว้ในข้อแรก ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้คุณง่วงนอนได้ หากเป็นแบบนี้คงหนีไม่พ้นตัวช่วยอย่างกาแฟใช่มั้ยล่ะครับ แต่ติดกาแฟมากไปมันก็ไม่ค่อยจะดีต่อสุขภาพสักเท่าไหร่

แล้วจะทำยังไงดี มีวิธีหรือตัวช่วยอื่นมั้ย?

หากคุณกลัวที่จะกินไม่อิ่ม ลองแบ่งกิน กินเหลือบ้างก็ได้อย่าเสียดาย หรือ แบ่งรับประทานเป็นมื้อย่อยๆดูมั้ยครับ..ทานจานเดียวไม่เบิ้ล ไม่พิเศษ บางท่านขอเพิ่มข้าว.. บางท่านถ้าเป็นก๋วยเตี๋ยวอาจจะขอเพิ่มเส้น.. นั่นแหละครับท่านผู้อ่าน หลับคาโต๊ะสบายแน่ๆ เอาเป็นว่ารับประทานแต่พอดี ไม่อิ่มมากจะดีกว่านะครับ

ลองแบ่งเป็นมื้อย่อยๆดูสิ! คุณอาจจะจัดเตรียมอัลมอนด์ กล้วมหอมเนยถั่ว แอปเปิ้ลเขียว ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ หรือ ไข่ต้ม ใส่กล่อง Clippac Blue Jean เพื่อความเรียบร้อย สะดวกหยิบจับ พร้อมนำมารับประทานเป็นของว่างตอน 10 โมงเช้า คุณจะได้ไม่กินมากเกินไปในมื้อเที่ยง และถ้าหากกลัวไม่อิ่ม คุณอาจเตรียมมาอีกสักชุดสำหรับบ่าย 3 ก็ยังได้


3.เสพติดของหวาน

ของหวาน ของโปรดของหลายๆท่าน ที่มักใช้ตบท้ายเพื่อเป็นการล้างปาก บางท่านติดมากินต่อในช่วงบ่าย เพื่อเพิ่มความสดชื่น ใช่ครับ..ของหวานทำให้คุณดีด แต่ก็ดีดได้ในช่วงระยะเวลานึงเท่านั้น เพราะฮอร์โมนอินซูลินในร่างกายของคุณ หากถูกผลิตออกมามากจนเกินไป จะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดลดลงอย่างรวดเร็ว ไม่นานคุณจะรู้สึกอ่อนเพลียมากกว่าเดิม คุ้นๆมั้ยล่ะครับ มันจะคล้ายๆกับการบริโภคแป้งขาวที่มากเกินไปนั่นเอง

คุณติดของหวานมากเกินไปหรือเปล่า?
เราอยากให้คุณลองลดปริมาณลงดูบ้าง ข้อดีมันก็มี แต่ข้อเสียก็มีไม่น้อย

แล้วจะทำยังไงดี มีวิธีหรือตัวช่วยอื่นมั้ย?

คุณลองลดปริมาณ กินพอหายอยาก..ลดเครื่องปรุงประเภทน้ำตาล เคยเจอมั้ย ก๋วยเตี๋ยว ใส่น้ำตาล 5-6 ช้อน ผมเจอเป็นประจำ คนรอบข้างผมเอง สำหรับท่านที่ติดกาแฟ ลองเปลี่ยนเป็นกาแฟดำเพียวๆ หรือ ใช้นมสดชนิดพร่องไขมันแทนนมข้น ไม่ใส่น้ำตาล และแน่นอนครับ กาแฟทำให้คุณตาใสแจ๋ว เป็นสิ่งที่คุณพึ่งพายามหนังตาคุณจะปิดจนลืมตาไม่ขึ้น คุณอาจจะซัดมันวันละ 2 แก้ว เช้าบ่าย บางท่านก็อาจจะมากกว่านั้น อย่างที่ผมเคยบอกไปเมื่อโพสต์ก่อนๆว่าดื่มมากไปมันก็ไม่ดี มันจะส่งผลในระยะยาว หรือ ยามคุณมีอายุมากขึ้น

ใจเย็นครับ อย่าเพิ่งเบ้ปากมองบน ผมไม่ได้บอกให้คุณเลิกขาด หรือ ลาจากการดื่มด่ำกับรสชาติของกาแฟ คุณยังคงดื่มในฐานะของโปรดของคุณได้ แต่อย่าดื่มเป็นเครื่องดื่มที่คุณขาดไม่ได้ยามคุณง่วงนอน ลองเปลี่ยนเป็นชาร้อนๆไม่ใส่น้ำตาลสักแก้ว ช่วยคุณได้มากเลยทีเดียว หรือ ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ที่มีรสเปรี้ยว ก็ทำให้คุณตาสว่างได้เช่นกัน


4.ละเลยการดื่มน้ำ

หากโกโก้ปั่น กาแฟเย็น น้ำผลไม้ น้ำหวานต่างๆ หรือ แม้กระทั้งน้ำอัดลม คือเพื่อนยามยากหลังมื้อเที่ยง ที่จะช่วยให้คุณสดชื่นได้บ้างในยามบ่าย “น้ำเปล่า” หนึ่งในตัวช่วยชั้นเลิศที่ถูกละเลย อาจด้วยความไม่อร่อย ไม่มีรสชาติ ทำให้ไม่เป็นที่ชวนดื่มสำหรับบางท่านสักเท่าไหร่นัก จริงอยู่เครื่องดื่มเหล่านี้ส่วนผสมหลักๆมันก็คือน้ำ แต่ถ้าจะดื่มแบบนี้ทั้งวัน มันคงไม่ดีต่อร่างกายของคุณสักเท่าไหร่

เครื่องดื่มต่างๆที่ได้กล่าวมาในข้างต้น นอกจากจะชวนอ้วนแล้ว ยังทำให้คุณง่วงง่ายขึ้นกว่าเดิมอีกด้วยล่ะครับ เนื่องจากปริมาณน้ำตาลที่ค่อนข้างมากจะทำให้คุณสดชื่นได้ในช่วงระยะเวลาหนึ่ง ไม่นานคุณก็จะรู้สึกอ่อนเพลีย นอกจากนี้ก็จะทำให้คุณอยากของหวานเพิ่มมากขึ้นอีกด้วย

แล้วจะทำยังไงดี มีวิธีหรือตัวช่วยอื่นมั้ย?

เพียงคุณจิบน้ำเปล่าตลอดวัน จะช่วยคุณให้สดชื่นและหายง่วงได้บ้าง จะน้ำเย็น น้ำอุ่น หรือ น้ำเปล่าอุณภูมิห้อง ได้ทั้งนั้นล่ะครับ ผมเคยอ่านมาหลายที่มักจะแนะนำต้องเป็นน้ำเปล่าอุณภูมิห้องเท่านั้น แต่ในชีวิตจริงคงไม่ต้องซีเรียสอะไรขนาดนั้น จะน้ำเปล่าแบบไหนก็ได้ แค่จิบได้ตลอดทั้งวัน ก็สดชื่นได้ และไม่จำเป็นต้องจ่ายแพง


5.นอนไม่เต็มอิ่มในตอนกลางคืน

ก็กลางคืนมันเงียบ สงบ และเป็นส่วนตัว โทรศัพท์มือถือข้างกาย คือ เพื่อนที่ดีสุดที่จะส่งคุณเข้านอน แต่กว่าจะนอนคงต้องใช้เวลากันสักหน่อย ไหนจะเช็ค Timeline อัพเดทเรื่องราวของตัวเอง คุยกับเพื่อนผ่าน Line ดูรีวิวบน Youtube และสิ่งที่น่าสนใจอีกมากมายบนหน้าจอมือถือ เงยหน้าขึ้นมาอีกทีก็ดึกเสียแล้ว

การนอนหลับ หรือ พักผ่อนไม่เพียงพอ ย่อมส่งผลเสียให้กับสุขภาพร่างกายของคุณ และแน่นอนคุณจะง่วงตลอดทั้งวัน การตัดขาดโลก Social Media มันอาจจะยากสำหรับบางคน แต่ถึงอย่างไรก็ควรแก้ที่ต้นเหตุจริงมั้ย? นอนให้เร็ว พักผ่อนให้พอ คุณจะได้ไม่ง่วงตลอดทั้งวันจนทำงานไม่ไหวนะครับ

แล้วจะทำยังไงดี มีวิธีหรือตัวช่วยอื่นมั้ย?

การงีบในตอนกลางวันโดยใช้เวลา 15-20 นาที เหมือนเป็นการรีเฟรชสมองและร่างกาย ช่วยให้คุณสดชื่น หายเหนื่อนล้า และพร้อมทำงานในช่วงบ่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ว่าคุณจะง่วงมาจากไหน จะนอนดึก จะนอนน้อย ไม่ได้นอน หรือ เป็นเพราะฤทธิ์ยาแก้แพ้ ไม่ไหวอย่าฝืน เพียงคุณงีบซัก 15 นาที ในตอนเที่ยง คุณจะมีความพร้อมในการทำงานในช่วงบ่ายมากขึ้น


เรื่องจัดเก็บอาหาร ให้เราช่วยคุณ ให้กล่องถนอมอาหาร Clippac เป็นผู้ช่วยในการจัดเก็บ และแบ่งอาหารเป็นมื้อ เพื่อความสะดวกในการจัดสรรพื้นที่อาหารให้แก่คุณ รู้จักเรามากขึ้นผ่านเว็บไซต์ www.clippac.com

เขียนโดย : Mr.Clippac (Siriwut T.)
ภาพประกอบ : CC0 License & Clippac